มั่นใจว่ากีฬาแข่งรถเป็นกีฬาที่หนุ่ม ๆ ส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ยิ่งเป็นผู้ที่รักความเร็วอยู่แล้วก็น่าจะมีความใฝ่ฝันที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกับการเป็นนักแข่งรถมืออาชีพในทีม Red Bull Racing หรือ ไม่ก็ Mercedes-AMG เพื่อประลองความเร็วในสนามแข่งกันดูสักครั้ง แต่จะมีสักกี่คนที่มุ่งมั่นและตั้งใจจริงกับความใฝ่ฝันแถมมีดีกรีของความหล่อที่แผ่ออร่าออกมาอีก แต่ทว่าความฝันการเป็นแชมป์ที่มาพร้อมกับหน้าตาอันโดดเด่นนั้นก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะทั้ง 5 นักแข่งรถใน Formula 1 ได้ทำให้เราเห็นแล้วว่า ทั้งหล่อทั้งเก่งมันเป็นอย่างไร!

  1.  ลูอิส แฮมิลตัน / Lewis Hamilton

1-Lewis Hamilton

ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) ยอดนักขับฟอร์มูล่า วัน ทีม Mercedes ที่ถูกขนานนามว่าเป็นนักแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เพราะได้เป็นแชมป์โลก สมัยที่ 7 คว้าชัยชนะในการแข่งขันไปทั้งหมด 98 ครั้ง ได้โพเดียม 171 ครั้ง เขาได้ช่วยทีม Mercedes คว้าแชมป์ Formula 1 ในงาน World Constructors ‘Championship ไป 7 ครั้ง มาตั้งแต่ปี 2014 และล่าสุดในปี 2021 ก็คว้ารางวัลแชมป์ Formula 1 World Drivers’ Championship ไปครองได้สำเร็จ

  1.  มิกะ แฮ็คคิเน็น / Mika Pauli Häkkinen

2-Mika Pauli Häkkinen

อดีตนักแข่งรถชาวฟินแลนด์ มิกะ แฮ็คคิเน็น (Mika Pauli Häkkinen) เมื่อปี 1995 เขาเคยหยุดพักจากการแข่งรถไปช่วงหนึ่ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพส่วนตัวที่มีอย่างต่อเนื่อง แต่เขาหวนคืนสู่วงการอีกครั้งและการกลับมาของเขาก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง เพราะเขาคว้าแชมป์โลก 2 ปี ติดต่อกันในปี 1998 และ 1999 ที่ งาน European Grand Prix จนได้รับชื่อเสียงในฐานะนักแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งตลอดกาล และก็ได้รับรางวัลตำแหน่งสุดท้าย ที่ United States Grand Prix ในปี 2001

  1.  ฮวน มานูเอล ฟันกิโอ / Juan Manuel Fangio

3-Juan Manuel Fangio

ฮวน มานูเอล ฟันกิโอ (Juan Manuel Fangio) นักแข่งชาวอาร์เจนติน่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำสถิติคว้าแชมป์โลกอย่าง World Drivers’ Championships ไปถึง 4 สมัย ต่อกันตั้งแต่ปี 1954 ถึง 1957 โดยทำการสร้างสถิติในการแข่งขันแบบที่ใครก็ไม่สามารถเอาชนะได้มานานกว่า 46 ปี ก่อนที่ นักขับชาวเยอรมัน อย่าง มิชชาเอล ชูมัคเคอร์ จะโค่นสถิติของเขาลงไปอย่างน่าเสียดาย ในขณะเดียวกัน ฟันกิโอ ก็เป็นนักแข่งชาวอาร์เจนติน่าคนเดียวที่ชนะ การแข่งขัน Argentine Grand Prix มากถึง 4 ครั้ง! หลังจากเกษียณจากการแข่งรถเขาก็ได้ผันตัวเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Mercedes-Benz ในปี 1995 แชมป์ F1 ในตำนานคนนี้เสียชีวิตเมื่ออายุ 84 ปี

  1.  เฟร์นันโด อาลอนโซ / Fernando Alonso

4-Fernando Alonso

นักแข่งรถชาวสเปน เฟร์นันโด อาลอนโซ (Fernando Alonso) หนุ่มหล่อมาดเข้ม นักขับทีม Ferrari เป็นที่รู้จักในฐานะนักขับรถแข่งที่ประสบความสำเร็จที่มีอายุน้อยที่สุดคนที่ 3 ในการแข่งขันระดับนานาชาติในประวัติศาสตร์ของ F1 เขาเคยชนะการแข่งขัน Formula 2 Drivers’ World Championship 1 ฤดูกาล ติดต่อกันในปี 2005 และ 2006 ในขณะเดียวกันยังได้รับรางวัล Spanish Grand Prix ในปี 2013 ด้วย อย่างไรก็ตาม เขามักถูกจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 ของนักแข่งที่มากฝีมือที่สุดใน F1 ตลอดกาล

  1.  เซบัสทีอัน เฟ็ทเทิล / Sebastian Vettel

5-Sebastian Vettel

นักแข่งรถชาวเยอรมัน ถูกโหวตให้เป็นรุคกี้แห่งปี ที่งาน AutosportAwards ครั้งแรกเมื่อปี 2008 ผู้นี้มีนามว่า เซบัสทีอัน เฟ็ทเทิล (Sebastian Vettel) นักขับรถทีม Red Bull Racing ที่เป็นแชมป์ F1 มากถึง 4 สมัย ในการแข่งขัน Formula 1 ในปี 2009 เขาได้ลงแข่งที่สนาม Red Bull Ring Spielberg เป็นครั้งแรกและจบด้วยการเป็นรองแชมป์โลกของนักแข่งที่อายุน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันเขาก็คว้ารางวัลที่ Formula 1 World Drivers’ Championship มากถึง 4 ครั้งในปี 2010 จน 2013 โดยมีคะแนนอาชีพทั้งหมด 1549 คะแนน

นอกจากทุกคนจะเห็นหน้าตาอันโดดเด่นของนักแข่งรถใน Formula 1 กับประวัติเส้นทางสายอาชีพของนักแข่งที่ทำให้พวกเขาคว้ารางวัลไปอย่างล้นหลามแล้ว ในขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ ความพยายาม และฝีมือในการขับรถ ที่ผ่านการฝึกซ้อมมานานจนเกิดการคว้ารางวัลไปหลาย ๆ งานที่สำคัญ ไม่ก็รักษาสถิติในการแข่งขันเป็นเวลาหลายนานปีติดต่อกัน


จะแพงแค่ไหน ถ้ารถแข่ง Formula 1 พัง แล้วต้องเอาไปซ่อม

Formular 1

การที่รถสูตรหนึ่ง หรือฟอร์มูลาวัน ทำความเร็วสูงสุด 233 ไมล์/ชั่วโมง หรือประมาณ 375 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้นพอจะช่วยให้คลายความสงสัยไปได้บ้างว่า ทำไมใคร ๆ ก็เรียกว่ามันว่าเป็นเจ้าแห่งความเร็วบนทางเรียบสี่ล้อที่ดุเดือดที่สุดในโลก การที่รถมีความเร็วและฟังก์ชั่นที่เพรียบพร้อมขนาดนี้ ก็ย่อมมีค่าใช้จ่ายของตัวรถที่สูงลิ่วเป็นธรรมดา แล้วถ้าเป็นความผิดพลาดในการคุมรถระหว่างการแข่งขัน หรือ เกิดอุบัติเหตุจนรถพังยับเยินจนต้องเอาไปซ่อมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมล่ะ จะถูกคิดเป็นมูลค่าเท่าไหร่กันนะ?

ก่อนจะไปหาคำตอบว่า เมื่อรถแข่ง F1 ถูกชนหนึ่งครั้ง ค่าซ่อมจะถูกคิดเป็นมูลค่าเท่าไหร่ เรามาดูราคาปกติของมัน ก่อนที่จะต่อด้วยความหมายของ Formula 1, F1 มาเริ่มกันที่ราคาปกติของรถแข่งที่ว่านี้กันก่อน โดยปกติมูลค่าของรถ F1 จะตกอยู่ที่ 7.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1 คัน (คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 240 ล้านบาท) ซึ่งราคาดังกล่าวอ้างอิงจะมาจากของบทความในนิตยสารกีฬา Life Beyond Sport เมื่อปี 2014

มาต่อกันที่ คำว่า Formula 1, F1 หรือรถสูตรหนึ่ง ที่เราเคยได้ยินและพูดกันจนติดปากนั้น มีความหมายว่าอย่างไร ถูกแบ่งออกเป็น 2 ความหมาย คือ 1) ชื่อเรียกประเภทรถ และ 2) ชื่อรายการแข่งขันรถสี่ล้อทางเรียบระดับสูงสุด ที่ก่อตั้งโดย สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ คือ FIA Formula One World Championship และคำว่า “สูตรหนึ่ง” คือ กฎระเบียบ ข้อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในการแข่ง ซึ่งหากต้องการแข่งในระดับ Formula 1 ผู้เข้าแข่งขันและรถที่จะนำมาใช้แข่ง ต้องยึดถือและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้

ส่วนคำถามที่ว่า รถฟอร์มูล่าพังถ้าพลาดชนไปครึ่งหนึ่ง จะมีค่าซ่อมอยู่ที่เท่าไร? ฟรานซ์ โทสต์ หัวหน้าทีม Toro Rosso หัวเรือใหญ่ของทีม Scuderia Toro Rosso เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตนสาร Autosport ถึงค่าซ่อมแซมการแข่งรถในฤดูกาลปี 2018 ว่า ภายใน 1 ปี เขาได้เสียค่าซ่อมฟอร์มูล่าเพราะการชนไปแล้วราว ๆ 2.3 ล้านยูโร (คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 80 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัดในการซ่อม 1 ครั้ง เพราะเป็นค่าเสียหายที่ซ่อมรวมตลอดทั้งปี แต่เรามีข้อมูลเพิ่มเติมของราคาอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถ F1 มาให้ดูคร่าว ๆ ว่าถ้าอุปกณ์รถ F1 เสียหายในส่วนไหนก็พอจะทำให้ประเมินราคาออกมาได้

ชิ้นส่วนของ F1 รายละเอียด
เครื่องยนต์ ส่วนประกอบหลักที่สำคัญของรถ อยู่ที่ 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมูลค่าของมันสูงถึง 80% ของมูลค่ารวมของรถทั้งหมด
ตัวถัง ส่วนที่ห่อหุ้มรถที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ เปรียบเสมือนเกราะนิรภัยให้กับคนขับ โดยมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
พวงมาลัย มีมูลค่าประมาณ 9 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ
ระบบไฮโดรลิก มีมูลค่าประมาณ 3.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ
ถังเชื้อเพลิง มีมูลค่าประมาณ 1.6 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ
ปีกหน้า (รวมส่วนกรวยจมูก) และปีกหลัง ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ มีมูลค่าประมาณ 5.6 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ
ระบบพับปีกหลัง
(DRS มีชื่อเต็มว่า Drag Reduction System)
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแซงคู่แข่งข้างหน้าในทางตรงยาวเป็นหลัก มีมูลค่าประมาณ 2 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ
จานเบรกและผ้าเบรก มีมูลค่าประมาณ 5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ
ยาง มีมูลค่าประมาณ 5 พันดอลลาร์สหรัฐฯ (รวมทั้ง 4 ล้อ)
ระบบเกียร์ มีมูลค่าประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เห็นมูลค่าแต่ละรายการของรถที่ต้องจ่ายแบบคร่าว ๆ เมื่อถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนหรือพังแล้ว ก็บอกได้เลยว่า หยุดทั้งความแรงและความแพงไม่ไหว สมแล้วที่เป็นเจ้าแห่งความเร็วบนทางเรียบสี่ล้อที่ดุเดือดที่สุดในโลก!

ref : 

  1.  https://www.mainstand.co.th/1600
  2.  https://www.siamsport.co.th/auto/other/view/216379